นักวิจัยจาก MIT กำลังเปลี่ยนภาพของขาเทียมในอนาคต ด้วยการพัฒนาขาเทียมรุ่นใหม่ที่ฝังเข้าไปในกระดูก และเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อโดยตรง ไม่เพียงช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้งาน “รู้สึก” ว่าขาเทียมนั้นเป็นอวัยวะของตัวเองจริง ๆ
จากอุปกรณ์ช่วยเดิน สู่ส่วนหนึ่งของร่างกาย
ระบบใหม่นี้ใช้แท่งไทเทเนียมฝังเข้าไปในกระดูกต้นขา พร้อมเชื่อมสายไฟเส้นเล็กไปยังกล้ามเนื้อใกล้เคียง เพื่อให้ขาเทียมตอบสนองต่อคำสั่งของร่างกายได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องพึ่งปลอกครอบพลาสติกแบบเดิมที่มักก่อให้เกิดการกดทับและการระคายเคือง
ความแตกต่างสำคัญ คือขาเทียมนี้ไม่เพียง “ใช้งานได้” แต่ผู้ใช้จะรู้สึกว่า “มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” เพราะเชื่อมกับโครงสร้างภายในจริง ๆ ทั้งกระดูก กล้ามเนื้อ และระบบประสาท
หนึ่งในนักวิจัย MIT ซึ่งเป็นผู้ใส่ขาเทียมทั้งสองข้างเอง กล่าวว่า
“ถ้าขาเทียมสามารถฝังเข้าไปในร่างกาย และควบคุมได้ด้วยกล้ามเนื้อและระบบประสาทโดยตรง มันจะไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่มันจะรู้สึกเหมือนเป็นขาของเราเอง”

การผ่าตัดแบบใหม่ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ทำงานร่วมกัน
ปกติแล้วเมื่อมีการตัดขา กล้ามเนื้อมักถูกแยกออกจากกัน ทำให้ขาดการสื่อสารกับระบบประสาท แต่ในการผ่าตัดแบบใหม่นี้ ศัลยแพทย์จะเชื่อมกล้ามเนื้อที่เคยทำงานร่วมกัน เช่น ด้านหน้าและด้านหลังของต้นขา ให้กลับมาทำงานประสานกันได้อีกครั้ง ส่งผลให้สมองสามารถส่งคำสั่งควบคุมได้ตามธรรมชาติ
เมื่อรวมเข้ากับการฝังขาเทียมเข้ากระดูก จึงได้ขาเทียมที่ไม่เพียงแข็งแรง เคลื่อนไหวได้ดี แต่ยัง “ตอบสนอง” ต่อเจตนาของผู้ใช้ได้ใกล้เคียงขาจริง
การทดลองล่าสุดกับอาสาสมัคร 17 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม พบว่า
- ผู้ที่ได้รับทั้งการผ่าตัดกล้ามเนื้อ + ขาเทียมฝังกระดูก (2 คน)
- ผู้ที่ได้รับเฉพาะการผ่าตัดกล้ามเนื้อ (7 คน)
- ผู้ที่ใช้ขาเทียมทั่วไป (8 คน)
กลุ่มแรกสามารถเดิน ขึ้นบันได และหลบสิ่งกีดขวางได้คล่องแคล่วที่สุด และที่สำคัญ พวกเขารายงานว่า “ขาเทียมรู้สึกเหมือนเป็นอวัยวะของตัวเอง” มากกว่ากลุ่มอื่น
อนาคตของขาเทียมจะไม่ใช่แค่ทดแทน แต่เป็นการ “ฟื้นคืน”
แม้เทคโนโลยีนี้จะยังอยู่ในขั้นทดลองและต้องรอการอนุมัติจาก FDA สหรัฐฯ แต่ทีมวิจัยคาดว่าจะสามารถเริ่มการทดลองในวงกว้างกับผู้ป่วยจริงภายใน 5 ปีข้างหน้า นวัตกรรมนี้ไม่เพียงเปลี่ยนวิธีสร้างขาเทียม แต่ยังเปลี่ยนความหมายของการ “สูญเสียขา” ไปโดยสิ้นเชิง — จากการทดแทนกลไก สู่การคืนความรู้สึกและการเชื่อมโยงกับร่างกายอย่างแท้จริง
tags : livescience