หัวข้อข่าว

นักวิทย์ฯ พัฒนา “ยาต้นแบบ IC7Fc” ลดคราบไขมันในหลอดเลือดได้ถึง 84% ทางเลือกการรักษาโรคเบาหวาน หัวใจในอนาคต

IC7Fc

ทีมนักวิจัยจากออสเตรเลีย (Monash University) และเนเธอร์แลนด์ (Leiden University Medical Center) รายงานผลการทดลองยาต้นแบบชื่อ IC7Fc ในหนูทดลอง ซึ่งให้ผลน่าตื่นเต้นต่อทั้งปัจจัยเสี่ยงทางเมตาบอลิซึมและโรคหัวใจ — ทั้งควบคุมระดับน้ำตาล-น้ำหนัก และลดการอุดตันในหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญ

IC7Fc เป็นโปรตีนสังเคราะห์

ที่ออกแบบเลียนแบบฤทธิ์บางอย่างของสารอักเสบ-สื่อสัญญาณในร่างกายชื่อ อินเตอร์ลิวคิน-6 (IL-6) แต่ตัดทอนคุณสมบัติที่ก่อการอักเสบออกไป โดยมุ่งกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและการทำงานของตับแทน ผลการทดสอบในหนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารไขมันสูงเป็นเวลา 7 สัปดาห์ พบว่า

ยาต้นแบบ IC7Fc
  • หนูที่ได้รับ ยาต้นแบบ มีระดับไขมันในเลือดลดลงมากกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาลดไขมัน (สแตติน) เพียงอย่างเดียว

  • ปริมาณคราบไขมัน (atherosclerotic plaque) ในหลอดเลือดลดลง ถึง 84% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยส่วนที่เหลือมีคุณภาพโครงสร้างที่ดีกว่า ลดความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวาย

  • ระดับอินซูลินในเลือดลดลง สื่อว่าความไวต่ออินซูลินดีขึ้น หรือระบบเผาผลาญตอบสนองดีขึ้น

ศ. Mark Febbraio หัวหน้าทีมวิจัยจาก Monash ให้ความเห็นว่า

ทางเลือกรักษาเบาหวาน

IC7F c เดิมตั้งใจพัฒนาเป็นยาเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ผลการทดลองชี้ว่า “ยาตัวนี้อาจช่วยลดการอุดตันในหลอดเลือดได้ด้วย” ทำให้มีศักยภาพเป็น “ยาสองต่อ” ที่รักษาทั้งปัญหาเมตาบอลิซึมและความเสี่ยงโรคหัวใจควบคู่กัน

กลไกการทำงานที่นักวิจัยอธิบายคือ IC7F c ลดการผลิตไขมันจากตับและกระตุ้นการใช้ไขมันบางส่วนไปผลิตกรดน้ำดีเพื่อช่วยย่อย ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลง นอกจากนั้นงานวิจัยก่อนหน้านี้ยังพบว่า IC7F c ลดความอยากอาหารและมวลไขมันในหนูอ้วนได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยย้ำว่านี่เป็นผลการทดลองในสัตว์ระยะสั้น ผลลัพธ์แม้จะมีนัยสำคัญแต่ยังต้องผ่านการทดสอบในมนุษย์เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาวก่อน การแปลงผลจากหนูสู่คนยังมีความไม่แน่นอนทั้งด้านขนาดยา ผลข้างเคียง และผลระยะยาว

ท้ายที่สุด ทีมวิจัยมองว่า IC7F c เป็นความก้าวหน้าที่น่าหวังในการพัฒนาการรักษาโรคเรื้อรังที่มักมาเป็นคู่กันอย่างเบาหวานและโรคหัวใจ แต่เส้นทางสู่การนำมาใช้จริงยังต้องรอการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติม — ผู้ป่วยและประชาชนจึงควรติดตามด้วยความระมัดระวังจนกว่าจะมีข้อมูลจากการทดลองในคนที่ชัดเจนขึ้น

tags : designboom

Facebook

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *