หิ่งห้อย (Firefly) แสงวาบเล็กๆ ที่เคยแต่งแต้มความทรงจำในวัยเด็กของใครหลายคน กำลังกลายเป็นภาพหายากขึ้นทุกที และอาจหายไปจากโลกในอนาคตอันใกล้ นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า เราอาจเป็น “คนรุ่นสุดท้าย” ที่จะได้เห็นหิ่งห้อยเรืองแสงใต้ฟากฟ้ายามค่ำคืน
ภัยเงียบที่ทำลายแสงธรรมชาติ
ราฟาเอล เดอ ค็อก (Raphaël De Cock) ผู้เชี่ยวชาญด้านหิ่งห้อย เปิดเผยว่าประชากรหิ่งห้อยทั่วโลกกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
- ถิ่นอาศัยหายไป: หิ่งห้อยต้องการพื้นที่ชื้น เช่น ป่าชายเลน หนองน้ำ หรือพื้นที่ใต้ใบไม้ แต่การขยายตัวของเมืองและเกษตรเชิงเดี่ยวได้ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของมัน
- แสงไฟรบกวนการผสมพันธุ์: แสงจากถนน บ้าน และอาคาร ทำให้หิ่งห้อยไม่สามารถส่งสัญญาณแสงเพื่อหาคู่ได้ตามธรรมชาติ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออัตราการสืบพันธุ์
- ยาฆ่าแมลงทำลายวงจรชีวิต: สารเคมีไม่เพียงทำลายศัตรูพืช แต่ยังส่งผลต่อแมลงชนิดอื่นในระบบนิเวศ รวมถึงหิ่งห้อยด้วย
- ภาวะโลกร้อน: อุณหภูมิที่สูงขึ้น และฤดูกาลที่แปรปรวน ทำให้วงจรชีวิตของหิ่งห้อยไม่เป็นไปตามปกติ เช่น ฤดูผสมพันธุ์ที่สั้นลงหรือขาดแคลนอาหาร
แสงแห่งความหวังยังมีอยู่
แม้แนวโน้มจะน่ากังวล แต่ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า ยังไม่สายเกินไปที่จะช่วยฟื้นฟูประชากรหิ่งห้อย ด้วย 4 แนวทางง่ายๆ
- ฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าชายเลน และพื้นที่สีเขียว
- ลดมลภาวะแสง โดยเปลี่ยนมาใช้หลอดวอร์มไวท์ หลีกเลี่ยงแสงสว่างที่ไม่จำเป็น
- สนับสนุนเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้ยาฆ่าแมลง
- ให้ความรู้แก่ชุมชนเรื่องความสำคัญของหิ่งห้อยในระบบนิเวศ
Firefly หิ่งห้อยไม่ใช่แค่แมลงน่ารัก
แมลงในวงศ์ Lampyridae นี้มีมากกว่า 2,000 สายพันธุ์ทั่วโลก หลายชนิดใช้แสงในการหาคู่ บางชนิดใช้เพื่อหลอกล่อเหยื่อ เช่น Photuris ตัวเมียที่เลียนแบบแสงของสายพันธุ์อื่นเพื่อล่อลวงตัวผู้ แม้จะตัวเล็ก แต่พวกมันมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหารและเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของธรรมชาติ
หากหิ่งห้อยหายไป โลกอาจไม่มืดลงทันที แต่ธรรมชาติจะสูญเสียบางสิ่งที่ฟื้นคืนไม่ได้ แสงวาบเล็กๆ ของพวกมันคือสัญญาณเตือนเงียบๆ ว่าเรากำลังทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไม่รู้ตัว ถึงเวลาที่เราทุกคนต้องร่วมกัน “รักษาแสงสุดท้าย” ให้คงอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้
tags : apnews