จุดชนวนถกเถียงจริยธรรมการศึกษา
กรณีล่าสุดจาก มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น สหรัฐฯ กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในวงการการศึกษาโลก เมื่อ Ella Stapleton นักศึกษาวิชาพฤติกรรมองค์การ ได้ยื่นขอคืนค่าเล่าเรียนกว่า 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 290,000 บาท) โดยให้เหตุผลว่า อาจารย์ใช้ ChatGPT สร้างเนื้อหาสไลด์การสอน ทั้งที่ใน Course Syllabus ระบุชัดว่า “ห้ามนักศึกษาใช้ AI ในการทำรายงานหรือการบ้าน”
อาจารย์ก็ใช้ AI แล้วนักศึกษาทำไมใช้ไม่ได้?
Stapleton พบเบาะแสในเอกสารประกอบการสอน เช่น ประโยคในลักษณะคำสั่งสำหรับ AI, ภาพประกอบผิดสัดส่วน, และการสะกดผิดหลายจุด ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ได้รับคุณภาพการสอนที่สมกับค่าเล่าเรียน เธอจึงยื่นคำร้องขอเงินคืนหลังจบหลักสูตร แม้ท้ายที่สุดมหาวิทยาลัยจะ ปฏิเสธคำร้อง ก็ตาม
อาจารย์ Rick Arrowood ยอมรับว่าใช้ ChatGPT จริง โดยอ้างว่าเป็นการใช้เพื่อ “ปรับเนื้อหาให้กระชับ” เท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อแทนการสอน และให้คำมั่นว่าจะเปิดเผยการใช้ AI อย่างชัดเจนหาก
ต้องบอกว่า AI ในห้องเรียน มีประโยชน์สูง แต่เสี่ยงสูงไม่แพ้กัน
ข้อมูลจากปี 2024 ระบุว่า กว่า 40% ของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ใช้ AI เป็นประจำ ทั้งในด้านการเตรียมบทเรียน การประเมินผล และการบริหารจัดการชั้นเรียน ขณะที่ฝั่งนักศึกษาก็ใช้ AI ในการเรียน ติวสอบ และเขียนรายงานอย่างแพร่หลาย
แต่ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องการใช้หรือไม่ใช้ AI เท่านั้น หากแต่คือ ความเท่าเทียมและโปร่งใสในกติกา ว่าผู้สอนและผู้เรียนควรถูกวัดด้วยมาตรฐานเดียวกันหรือไม่
ทีมนักวิจัยจาก Microsoft และมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน เตือนว่า การพึ่ง AI อย่างต่อเนื่อง โดยไม่รู้เท่าทัน อาจทำให้มนุษย์ค่อย ๆ สูญเสีย “ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล” เพราะเมื่อเรารับคำตอบสำเร็จรูปจาก AI บ่อยเข้า เราอาจเลิกตั้งคำถามและวิเคราะห์สิ่งที่ได้รับมาอย่างลึกซึ้ง
กรณีนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ออกแบบกติกาใหม่” ที่ครอบคลุมทั้งครูและนักเรียน ไม่ใช่แค่จำกัด AI กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการ “ใช้ให้รู้เท่าทัน” ทั้งสองฝ่าย เพื่อสร้างความโปร่งใส และยังคงไว้ซึ่งเป้าหมายหลักของการศึกษา — การสร้างคนให้คิดเป็น ไม่ใช่แค่ “ใช้เครื่องมือเป็น” เท่านั้น
tags : entrepreneur