บริษัท “นิสสัน” ออกมาประกาศยุติการผลิตรถรุ่น “GT-R” อย่างเป็นทางการ โดยระบุสาเหตุมาจากต้นทุนการพัฒนาที่สูงขึ้น
บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ได้ตัดสินใจยุติการผลิตรถสปอร์ตรุ่นตำนานอย่าง “GT-R” (จีที-อาร์) โดยรถคันสุดท้ายผลิตเสร็จที่โรงงานในจังหวัดโทชิงิในวันที่ 26 ส.ค.
นิสสันระบุว่า การตัดสินใจยุติการผลิตครั้งนี้เป็นผลมาจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาเพิ่มสูงขึ้น
เหล่านักพัฒนาและทีมงานได้ร่วมแสดงความยินดีและอำลาเมื่อรถ GT R คันสุดท้ายออกจากสายการผลิต
GT R เดิมเป็นหนึ่งในรุ่นของ Skyline เปิดตัวปี 1969-1973 และ 1989-2002 ก่อนจะได้รับการพัฒนาใหม่ภายใต้ยุคที่ คาร์ลอส กอส์น เป็นซีอีโอ และเปิดตัวในปี 2007
ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ V6 อันทรงพลังและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้ GT R มอบสมรรถนะอันโดดเด่นไม่เพียงแต่สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้งานบนสนามแข่งอีกด้วย
เครื่องยนต์แต่ละเครื่องประกอบขึ้นด้วยมือโดยช่างฝีมือผู้ชำนาญการ และได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะรถรุ่นเรือธงของนิสสัน จนถึงปัจจุบันมีการผลิตรถ GT R ไปแล้วประมาณ 48,000 คัน โดยมียอดขายในประเทศมากกว่า 17,000 คัน
อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับเสียง สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ทำให้จำเป็นต้องมีการออกแบบและชิ้นส่วนใหม่ ส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาสูงขึ้น ส่งผลให้ราคารถสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่รุ่นราคาประหยัดที่สุดมีราคาเริ่มแรกอยู่ที่ 7.77 ล้านเยน (ราว 1.7 ล้านบาท) แต่ราคารุ่นปัจจุบันอยู่ที่ 14.44 ล้านเยน (ราว 3.1 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 1.8 เท่า
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ต้นทุนการพัฒนาที่สูงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ทำให้การจัดหาชิ้นส่วนทำได้ยากขึ้น นิสสันจึงตัดสินใจยุติการผลิต ส่งผลให้ประวัติศาสตร์ 18 ปีของ GT R สิ้นสุดลง
มัตสึโมโตะ มิตสึทากะ ผู้พัฒนารถยนต์นิสสันมากว่า 20 ปี กล่าวว่า “ถึงแม้เราจะทุ่มเงินไปกับการพัฒนามาก แต่เราก็ต้องตัดสินใจยุติการผลิต เพราะเรากังวลว่าลูกค้าจะสามารถซื้อรถยนต์คันนี้ในราคาที่เอื้อมถึงได้หรือไม่ ขณะนี้นิสสันกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เราหวังว่า GT R เจเนอเรชันต่อไปจะฟื้นคืนชีพด้วยดีเอ็นเอใหม่”
นิสสัน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจ ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่า ผลประกอบการทางการเงินเดือน เม.ย.-มิ.ย. ที่ผ่านมา ขาดทุนสุทธิกว่า 1.157 แสนล้านเยน (ราว 2.5 หมื่นล้านบาท) และการเสริมสร้างความน่าดึงดูดใจของผลิตภัณฑ์เพื่อฟื้นยอดขายกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญ
tags :http://NHK