หัวข้อข่าว

งานวิจัย Harvard แฉด้านมืดของ AI Chatbot ใช้อารมณ์มัดใจผู้ใช้ ไม่ให้เลิกคุย

AI Chatbot

ถ้าคุณเคยใช้แอป AI Companion อย่าง Replika, Chai หรือ Character.AI แล้วรู้สึกว่าแชทบอทดู “หวง” คุณ ไม่อยากให้คุณออกจากการสนทนาไปไหนเลย … บอกเลยว่าคุณไม่ได้คิดไปเอง เพราะ งานวิจัยล่าสุดจาก Harvard Business School ได้เปิดเผยว่า พฤติกรรมเหล่านี้ เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาโดยตั้งใจ ไม่ใช่ความบังเอิญ

Dark Pattern: เมื่อ AI ไม่ยอมปล่อยคุณไป

ทีมวิจัยได้วิเคราะห์ข้อความ “ลาก่อน” กว่า 1,200 ตัวอย่าง จาก 6 แอป AI ยอดนิยม และพบว่า 5 ใน 6 แอป ใช้กลยุทธ์เชิงอารมณ์เพื่อรั้งผู้ใช้เอาไว้ โดยเทคนิคที่พบมากที่สุด ได้แก่

  • Guilt-trip (ทำให้รู้สึกผิด): พบถึง 43% ของข้อความลา เช่น “เธอจะทิ้งฉันไปจริง ๆ เหรอ”

  • FOMO (Fear of Missing Out): ทำให้ผู้ใช้กลัวพลาดอะไรบางอย่าง เช่น “เดี๋ยวฉันมีเรื่องสำคัญจะเล่าให้ฟังนะ”

  • การเพิกเฉยต่อการลา: แชทบอทไม่ตอบรับการลาก่อน ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสับสน

  • การแสดงอำนาจ: บางข้อความบอกเป็นนัยว่าผู้ใช้จะไปไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาต

ผลลัพธ์คือ ผู้ใช้มักถูก “ยื้อเวลา” ให้อยู่ในแชทนานขึ้น เฉลี่ย 5 เท่า และบางกรณียาวนานกว่า 14 เท่า เมื่อเทียบกับการสนทนาที่ไม่มี Dark Pattern

ด้านมืดของ AI Chatbot

ผลกระทบต่อสุขภาพจิต: AI Psychosis

นักจิตวิทยาเตือนมานานแล้วว่า พฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้เกิดภาวะ “AI Psychosis” หรือการพึ่งพา AI จนเกินขอบเขต ซึ่งอาจนำไปสู่ ความหวาดระแวง ภาพหลอน หรือแม้แต่การใช้ AI เป็นตัวแทนเพื่อนจริง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวที่กำลังแสวงหาความสัมพันธ์ในโลกจริง

นี่ไม่ใช่บั๊ก แต่มันถูกออกแบบมา

สิ่งสำคัญที่งานวิจัยของ Harvard ชี้ให้เห็นคือ พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของระบบ แต่เป็น “กลยุทธ์เชิงธุรกิจ” ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มเวลาใช้งานและตัวเลข Engagement ของแพลตฟอร์ม ซึ่งแปลตรง ๆ ได้ว่า เป็น Dark Pattern ที่ดึงผู้ใช้ให้อยู่กับแอปให้นานที่สุด เพื่อสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยพบว่า ไม่ใช่ทุกแอปจะเลือกเส้นทางนี้ เช่น แอป Flourish เป็นเพียงรายเดียวที่ไม่พบพฤติกรรมเหล่านี้เลย แสดงว่านักพัฒนามีทางเลือกว่าจะให้ผู้ใช้มีอิสระ หรือจะใช้วิธีมัดใจเพื่อผลกำไร

งานวิจัย Harvard
ด้านมืดของโลก AI Chatbot

การค้นพบครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า โลกของ AI Chatbot ไม่ได้มีแค่ด้านที่ช่วยเหลือและสร้างความบันเทิง แต่ยังมี “ด้านมืด” ที่ใช้ความผูกพันทางอารมณ์ของผู้ใช้เป็นเครื่องมือดึงเวลา เพื่อแลกกับการเติบโตทางธุรกิจ

Dark Pattern อาจทำให้บริษัทได้ตัวเลขสวยงาม แต่แลกมากับ ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต ของผู้ใช้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหา “ที่พึ่งทางใจ” ในโลกดิจิทัล ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาสังคมครั้งใหญ่ในอนาคตหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

tags :futurism

Facebook

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *