หัวข้อข่าว

เปิดตัว Dekoda กล้อง AI ติดขอบชักโครก วิเคราะห์สัญญาณสุขภาพลำไส้จากของเสีย

Dekoda

Kohler เปิดตัว Dekoda อุปกรณ์สุขภาพเชิงบริโภคตัวล่าสุดของแบรนด์ย่อย Kohler Health — กล้องอัจฉริยะติดขอบชักโครกที่ใช้คอมพิวเตอร์วิทัศน์และ AI วิเคราะห์ของเสียเพื่อติดตามสภาพลำไส้ ส่งสรุปผลให้ผู้ใช้ผ่านแอปมือถือ บริษัทเริ่มรับจองล่วงหน้าและจะเริ่มส่งมอบล็อตแรก 21 ต.ค. นี้ในราคา 599 ดอลลาร์ พร้อมแผนสมัครสมาชิกรายปีสำหรับฟีเจอร์เชิงวิเคราะห์

Dekoda คืออะไร

วิเคราะห์สุขภาพลำไส้จากของเสีย

เป็นอุปกรณ์เสริมประเภท “Smart Toilet Accessory” รูปทรงกะทัดรัด ยึดด้วยคลิปหนีบขอบชักโครก ทำหน้าที่ถ่ายภาพและเก็บสัญญาณจากของเสียภายในชามชักโครก จากนั้นส่งข้อมูลให้โมเดล AI วิเคราะห์ลักษณะ สี รูปร่าง ความชุ่มชื้น และตรวจหาสัญญาณเลือดที่อาจบ่งชี้ความผิดปกติ ซึ่งผลจะถูกสรุปเป็นรายวันและเป็นแนวโน้มระยะยาวในแอปบนสมาร์ตโฟน

หลักการทำงานแบบสั้น ๆ

อุปกรณ์ใช้เซนเซอร์ออปติคัลและกล้องที่ Kohler เรียกว่า “Discreet Optics” — เลนส์มุมแคบโฟกัสเฉพาะด้านในของชักโครกเพื่อลดการเก็บภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง ข้อมูลภาพประมวลผลด้วยอัลกอริทึมคอมพิวเตอร์วิทัศน์แล้วส่งผ่าน Wi-Fi ไปยังแอป (รองรับ iPhone) ผู้ใช้ต้องยืนยันตัวด้วยลายนิ้วมือก่อนใช้งานเพื่อแยกข้อมูลตามบุคคล

การติดตั้งและการใช้งานเชิงปฏิบัติ

Kohler

มีขนาดประมาณ 20.6 × 9.5 × 8.7 เซนติเมตร น้ำหนักราว 0.5 กิโลกรัม ยึดกับขอบชักโครกที่มีความกว้าง 32–58 มม. และต้องมีระยะห่างขั้นต่ำจากก้นฝาชักโครก 6 มม. ตัวเครื่องชาร์จผ่านพอร์ต USB-C แบตเตอรี่ใช้งานได้หลายวันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เมื่อผู้ใช้เข้าใกล้ เซนเซอร์จะตรวจจับและเริ่มเก็บข้อมูล-วิเคราะห์หลังการใช้งานทันที

ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

Kohler ยืนยันว่าเซนเซอร์ “มองเฉพาะด้านในชักโครกเท่านั้น” และข้อมูลจะถูกเข้ารหัสแบบ end-to-end พร้อมแยกบันทึกต่อบัญชีผู้ใช้ แต่ประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวยังคงเป็นคำถามสำคัญสำหรับผู้บริโภค—เช่น ใครเข้าถึงข้อมูลได้บ้าง บริษัทเก็บข้อมูลนานแค่ไหน และมีนโยบายอย่างไรในกรณีข้อมูลรั่วไหล ผู้สนใจควรอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวและเงื่อนไขการให้บริการก่อนตัดสินใจซื้อ

ขอบเขตเชิงการแพทย์ — เตือนว่านี่ไม่ใช่เครื่องมือวินิจฉัย
กล้อง AI ติดขอบชักโครก

Kohler ระบุชัดว่าเป็นเครื่องมือติดตามเชิงบ่งชี้ (health-monitoring) ไม่ใช่อุปกรณ์วินิจฉัยทางการแพทย์ ผลวิเคราะห์จึงควรถูกตีความเป็นสัญญาณเตือนหรือข้อมูลเสริมเท่านั้น หากระบบแจ้งความผิดปกติ ผู้ใช้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจทางคลินิกและการวินิจฉัยที่เหมาะสม

เปิดให้สั่งจองล่วงหน้า ราคา 599 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22,000 บาท) พร้อมแผนสมัครสมาชิกประจำปี 70–156 ดอลลาร์สำหรับฟีเจอร์วิเคราะห์และเก็บข้อมูลระยะยาว โมเดลธุรกิจแบบฮาร์ดแวร์บวกซอฟต์แวร์แบบนี้ตอกย้ำแนวทาง “health at home” แต่ก็ทำให้ผู้บริโภคต้องคำนวณต้นทุนระยะยาวก่อนซื้อ

tags : theverge

Facebook

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *