สหภาพยุโรป (EU) เดินหน้าผลักดันความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดประกาศกฎระเบียบใหม่ที่น่าจับตา โดยตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทุกเครื่องที่วางจำหน่ายใน EU จะต้องมีฉลากใหม่ภายในกล่องผลิตภัณฑ์ เพื่อแสดงข้อมูล อายุการใช้งานแบตเตอรี่และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
กฎระเบียบนี้เป็นการปรับปรุงฉลากประหยัดพลังงาน (energy sticker) ที่ชาวยุโรปคุ้นเคยจากเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้บริโภคคาดหวังจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
ข้อกำหนดนี้ครอบคลุมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ที่วางจำหน่ายในตลาด อียู ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป มีดังนี้
- สมาร์ทโฟนทุกชนิด (สำหรับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือหรือดาวเทียม)
- แท็บเล็ต (ขนาดหน้าจอระหว่าง 7 ถึง 17.4 นิ้ว)
- ฟีเจอร์โฟน (มือถือไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันจากภายนอก)
- โทรศัพท์บ้านไร้สาย
สิ่งที่ต้องรู้เพิ่ม
- ไม่ใช่แค่ฉลาก: อียู ยังบังคับให้อุปกรณ์ต้องมีมาตรฐานด้านความทนทานต่อการตกหล่นและป้องกันฝุ่นน้ำ, แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน (รองรับการชาร์จ/คายประจุ 800 รอบ ยังคงความจุ 80%), ซ่อมง่าย (มีอะไหล่ 7 ปี), ได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างน้อย 5 ปี, และช่างซ่อมสามารถเข้าถึงข้อมูลทางเทคนิคได้ง่าย
- ฉลากบอกอะไรบ้าง: ฉลาก EPREL จะแสดงข้อมูลสำคัญ 7 ประการเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานและอายุการใช้งานแบตเตอรี่
- ใครดูแล: ผู้ผลิตต้องลงทะเบียนข้อมูลผลิตภัณฑ์ในแพลตฟอร์ม EPREL ของ อียู และคณะกรรมาธิการจะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
ผลกระทบต่อประเทศอื่นและคนไทย:
แม้กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้โดยตรงเฉพาะใน สหภาพยุโรป ( อียู) เท่านั้น แต่มีแนวโน้มสูงว่าผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกอาจปรับมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ อียู เพื่อลดความซับซ้อนในการผลิตสินค้าหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดที่แตกต่างกัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคในประเทศอื่น ๆ รวมถึง คนไทย อาจได้รับประโยชน์ทางอ้อมดังนี้:
- อุปกรณ์มีความทนทานมากขึ้น: มาตรฐานความทนทานขั้นต่ำที่กำหนดโดย อียู อาจถูกนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์รุ่นที่วางจำหน่ายทั่วโลก
- ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น: ผู้ผลิตอาจพัฒนาและเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน อียู
- ความสะดวกในการซ่อมแซม: แรงกดดันจากกฎหมาย อียู อาจส่งผลให้ผู้ผลิตให้ความสำคัญกับการออกแบบที่ง่ายต่อการซ่อมแซมและการจัดหาชิ้นส่วนอะไหล่มากขึ้นในระดับสากล
- การสนับสนุนซอฟต์แวร์ที่ยาวนานขึ้น: นโยบายการอัปเดตระบบปฏิบัติการและแพตช์ความปลอดภัยที่ยาวนานขึ้น อาจกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นนี้อาจส่งผลให้ ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากผู้ผลิตมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการวิจัย พัฒนา และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานใหม่ของ สหภาพยุโรป
tags : GSMArena