นักวิจัยจาก Mass General Brigham ในสหรัฐอเมริกา พัฒนา “FaceAge” เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถวิเคราะห์ “อายุชีวภาพ” ของบุคคลผ่านภาพใบหน้า หรือเพียงแค่ “เซลฟี่” รูปเดียว
ต่างจากอายุตามบัตรประชาชนที่เรียกว่า Chronological Age อายุชีวภาพ (Biological Age) สะท้อนความเสื่อมของร่างกายจริงๆ ซึ่งสามารถแตกต่างกันได้หลายปี ขึ้นอยู่กับสภาพสุขภาพ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยแวดล้อม
FaceAge AI อายุที่ใบหน้าเล่าเรื่องได้
FaceAge ใช้การวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะบนใบหน้า เช่น รอยพับรอบปาก ความลึกของขมับ และโครงสร้างผิวหนังระดับละเอียด เพื่อประเมินสภาพความเสื่อมของร่างกายแบบไม่ต้องเจาะเลือดหรือทำการทดสอบใดๆ เพิ่มเติม
ตัวอย่างเช่น
- Paul Rudd นักแสดงชื่อดัง แม้อายุจริง 50 ปี แต่อายุชีวภาพอยู่ที่ 43 ปี
- ขณะที่ Wilford Brimley นักแสดงอีกราย แม้อายุจริงเท่ากัน แต่มีอายุชีวภาพสูงถึง 69 ปี
FaceAge AI ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในทางการแพทย์จริง โดยเฉพาะกับ ผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งต้องได้รับการประเมินว่าร่างกายสามารถรับการรักษาอย่างหนักหน่วง เช่น ฉายแสง หรือเคมีบำบัด ได้หรือไม่
ทีมพัฒนาเผยว่า อายุชีวภาพที่สูงกว่าความเป็นจริง อาจบ่งชี้ถึงโอกาสที่ผู้ป่วยจะไม่สามารถทนต่อการรักษาได้ ซึ่งข้อมูลนี้จะช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
แต่ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพัฒนาเพิ่ม
- แม้จะเป็นก้าวสำคัญของ AI ด้านสุขภาพ แต่ FaceAge ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น
- ข้อมูลจำกัดในบางเชื้อชาติ: ระบบถูกฝึกด้วยใบหน้าของคนผิวขาวเป็นหลัก อาจวิเคราะห์ได้ไม่แม่นยำกับคนผิวสีอื่น
- ผลกระทบจากการศัลยกรรม: ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าใบหน้าที่ผ่านการศัลยกรรม จะทำให้ผลวิเคราะห์คลาดเคลื่อนได้หรือไม่
ก้าวใหม่ของการแพทย์จาก “ใบหน้า” เทคโนโลยีอย่าง FaceAge อาจเป็นต้นแบบของเครื่องมือสุขภาพยุคใหม่ ที่ไม่ต้องรอนัดแพทย์หรือทำหัตถการใดๆ แต่ใช้เพียงแค่ “ภาพถ่ายใบหน้า” ก็สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่เคยต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ได้
ในอนาคตอันใกล้ การตรวจเช็กสุขภาพเบื้องต้น หรือการคัดกรองความเสี่ยงโรค อาจเริ่มต้นแค่เพียง… “กดถ่ายเซลฟี่”
tags : eweek