จากกระบวนการธรรมชาติที่ต้องใช้เวลากว่า 3,000 ปี สู่เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ทำได้เพียง ไม่กี่สัปดาห์ — นักวิจัยจากเยอรมนีพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและขยะอินทรีย์ให้กลายเป็น “ซูเปอร์ฮิวมัส” (Super Humus) สารอินทรีย์ที่ช่วยฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ และยังช่วยดูดซับคาร์บอนในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยี Hydrothermal Humification
ผลงานนี้เป็นนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพ Humify ซึ่งใช้กระบวนการ Hydrothermal Humification ที่อาศัย ความร้อน น้ำ และแรงดันสูง เพื่อเร่งการสังเคราะห์สารอินทรีย์ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับสารฮิวมิกที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ
ซูเปอร์ฮิวมัสที่ได้สามารถ
พิ่มความชุ่มชื้นของดิน
กักเก็บแร่ธาตุ และสร้างสมดุลให้จุลินทรีย์
เร่งการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากชั้นบรรยากาศได้อย่างรวดเร็ว
Dr. Markus Antonietti จาก Max Planck Institute เปิดเผยว่า ซูเปอร์ฮิวมัส เพียง 1 ตัน สามารถตรึงคาร์บอนได้มากถึง 50 ตันต่อพื้นที่ 1 เฮกตาร์ ภายในปีแรก ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีการดักจับคาร์บอนแบบทั่วไปอย่างมาก
ฟื้นแนวคิดเก่ากว่า 90 ปี สู่เทคโนโลยีเพื่อโลก
แนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจาก Bergius-Pier Process กระบวนการเคมีเก่าแก่ที่นักเคมีรางวัลโนเบล Friedrich Bergius พัฒนาขึ้นเมื่อเกือบศตวรรษก่อนเพื่อผลิตน้ำมันจากชีวมวล แต่ Dr. Markus นำมาปรับใช้เพื่อ สร้างดินคุณภาพสูง แทน ซึ่งกลายเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมการจัดการขยะและการฟื้นฟูดินในยุคปัจจุบัน
ใช้กับขยะอินทรีย์ได้หลากหลาย ลดการขนส่ง
Harald Pinger ผู้ร่วมก่อตั้งและ CFO ของ Humify ระบุว่า ระบบนี้สามารถติดตั้งใกล้ โรงงานผลิต Biogas หรือพื้นที่ที่มีเศษวัสดุเหลือใช้ เช่น เศษพืช กากจากการผลิตพลังงานชีวมวล เพื่อแปรรูปเป็นซูเปอร์ฮิวมัสได้ทันที วิธีนี้ช่วยลดการขนส่ง ลดต้นทุน และทำให้สารที่ได้ถูกนำกลับไปใช้ในพื้นที่เกษตรได้อย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์จริง เพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ 20%
จากการทดลองในประเทศจีนพบว่า การเติมซูเปอร์ฮิวมัสลงในพื้นที่เพาะปลูกช่วยเพิ่มผลผลิตได้ถึง 20% ซึ่งไม่เพียงช่วยฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรม แต่ยังสร้างความมั่นคงทางอาหารและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
ปัจจุบัน Humify กำลังสร้าง โรงงานต้นแบบ ที่มีกำลังการผลิตชีวมวล 3,000 ตันต่อปี พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีให้ใช้พลังงานน้อยลง โดยเฉพาะในขั้นตอนให้ความร้อนและการทำความเย็นที่เป็นหัวใจหลักของกระบวนการนี้ เพื่อให้สามารถขยายการผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ในอนาคต
Dr. Svitlana Filonenko CTO ของสตาร์ทอัพ เชื่อว่า หากสามารถจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทจะสามารถแข่งขันในตลาดโลก และผลักดันเทคโนโลยีนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ดินถือเป็น “ที่เก็บคาร์บอนตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของโลก” แต่เมื่อมนุษย์ปรับเปลี่ยนพื้นที่ เช่น ตัดไม้ ทำเกษตรเชิงเดี่ยว หรือทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำแห้ง ดินก็จะปล่อยคาร์บอนกลับคืนสู่บรรยากาศ
เทคโนโลยีนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดการขยะหรือเพิ่มผลผลิตทางเกษตร แต่ยังเป็น ความหวังใหม่ในการชะลอภาวะโลกร้อน และสร้างสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติอย่างยั่งยืน
tags : mpg.de